Success In Marketing New Principles 5P เพิ่มพลังการแข่งขันในตลาดจาก 4P สู่ 5P กุญแจธุรกิจที่ยั่งยืน
- swiftweb1
- 28 พ.ย. 2567
- ยาว 1 นาที
เมื่อพูดถึงการตลาด หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า 4P ซึ่งประกอบด้วย สินค้า (Product), ราคา (Price), ช่องทางจัดจำหน่าย (Place), การส่งเสริมการขาย (Promotion) ที่ใช้เป็นเครื่องมือที่ธุรกิจใช้ในการวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำการตลาด
แต่ปัจจุบันการที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักนั้นอาจทำได้ไม่ยากนัก แต่การรักษาความมั่นคงของธุรกิจให้อยู่ในระดับเดิมหรือดีกว่าเดิมนั้นกลับเป็นเรื่องท้าทายมากกว่าสำหรับธุรกิจ จึงเกิดเป็น“5P” ที่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างรากฐานที่มั่นคงกับธุรกิจ โดยช่วยให้ธุรกิจไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการทำตลาด แต่ยังใส่ใจกับ " บุคลากร (People) " ทำให้การตลาดมีมิติมากขึ้นและสะท้อนถึงความสำคัญของการบริการและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในยุคปัจจุบัน ประกอบไปด้วย

1. Product (สินค้า)📦
การมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และสินค้าควรมีคุณลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
2. Price (ราคา)💸
การตั้งราคาที่เหมาะสมกับคุณค่าของสินค้าและกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจใช้กลยุทธ์ตั้งราคาตามคุณค่าหรือการแข่งขันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ลูกค้า
3. Place (สถานที่/ช่องทางการจัดจำหน่าย) 🏪
การเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสม เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างสะดวก และอาจใช้ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อขยายการเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
4. Promotion (การส่งเสริมการขาย)📣
การใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นความสนใจของลูกค้า เช่น โฆษณา โปรโมชั่น โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือมีกิจกรรมที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มการโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
5. People (บุคลากร) 👥
การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความรู้เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมืออาชีพ โดยสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี หรือการให้รางวัลแก่พนักงานที่ทำงานดีจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการให้บริการที่มีคุณภาพ
ตัวอย่าง หลักการ 5P สำหรับร้านกาแฟเล็ก ☕
1. Product (สินค้า): ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งตัดสินใจเพิ่มเมนูเครื่องดื่มที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น กาแฟผสมสมุนไพร หรือกาแฟรสชาติที่เข้ากับฤดูกาล เพื่อดึงดูดลูกค้าที่อยากลองรสชาติใหม่ๆ และคำนึงถึงสุขภาพ นอกจากนี้ยังเลือกใช้เมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่สนใจสินค้ายั่งยืน

2. Price (ราคา): ร้านกาแฟเลือกใช้กลยุทธ์การตั้งราคาให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้า โดยมีระดับราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่กาแฟราคาเข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้าที่มาเยือนบ่อย ๆ และกาแฟพิเศษราคาสูงขึ้นสำหรับลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์ที่พิเศษ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันส่วนลดเพื่อลดต้นทุนสินค้าที่ขายไม่ได้ในช่วงเช้าหรือช่วงเร่งด่วน

3. Place (สถานที่/ช่องทางจัดจำหน่าย): ร้านกาแฟตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น ใกล้กับแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า หรือสถานีรถไฟฟ้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินทางมาได้สะดวก อีกทั้งยังเปิดบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Food Delivery ที่ช่วยเพิ่มช่องทางจำหน่ายในกรณีลูกค้าไม่สะดวกมาใช้บริการที่ร้าน

4. Promotion (การส่งเสริมการขาย): ร้านกาแฟนี้ใช้กลยุทธ์โซเชียลมีเดียในการโปรโมท โดยโพสต์ภาพเมนูใหม่ ๆ หรือเรื่องราวเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟที่ใช้ผ่าน Instagram และ Facebook รวมถึงจัดกิจกรรมแจกกาแฟฟรีในวันเปิดร้านหรือช่วงเทศกาลสำคัญ เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้าใหม่ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันสะสมแต้มผ่านแอปพลิเคชันให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก

5. People (บุคลากร): เจ้าของร้านให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้เรื่องกาแฟและการให้บริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยม พนักงานที่มีความรู้สามารถแนะนำเมนูต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้และสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการคิดสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานและมีส่วนร่วมในความสำเร็จของร้าน

Comments